Call Center 1313

ขนาดตัวอักษร เล็ก ปกติ ใหญ่

PREPOSITION หรือ คำบุพบท เช่น IN, ON, AT ใช้ยังไง มาทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ กัน

PREPOSITION หรือ คำบุพบท เช่น IN, ON, AT
ใช้ยังไง มาทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ กัน

preposition

Preposition หรือ คำบุพบท คืออะไร

คือ คำที่ใช้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคำ ๆ หนึ่ง กับคำอื่นในวลีหรือประโยค ไม่ว่าจะเป็น คำนาม คำสรรพนาม หรือคำกริยา เพื่อบอก เวลา สถานที่ ตำแหน่ง ทิศทาง วิธีการ หรือเหตุผล เพื่อให้ประโยคสมบูรณ์ ตัวอย่างคำบุพบท เช่น in/on/at/after/about/above/below/over/under/between/by/down/for/from/with/without เป็นต้น

Preposition หรือ คำบุพบท แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ

 

1. Preposition of Place (คำบุพบทบ่งบอกตำแหน่ง หรือ สถานที่

Our Classroom 5

 

เป็นคำบุพบทที่บ่งบอกถึงตำแหน่งของ คน สัตว์ สิ่งของ ว่าอยู่ที่ใดบ้าง คำบุพบทที่พบบ่อย คือ in, on, at, above เป็นต้น

In (ใน) ใช้กับ เมือง ประเทศ และพื้นที่ที่มีขอบเขต เช่น

She is in hospital.

I live in Bangkok.

The flower is in the pot.

On (บน) ใช้กับ ชื่อถนนและอธิบายว่าอยู่บนพื้นผิวของสิ่งต่าง ๆ เช่น

My office is on Rama4 road.

A cup is on the table.

His photo is on the wall.

At (ที่) ใช้กับ พื้นที่หรือสถานที่ที่เจาะจงชัดเจน เช่น

I work at an office.

You can meet her at the bus station.

He is waiting for his friend at home.

Above (เหนือ) ใช้กับ ตำแหน่งด้านบนแบบที่ยังมีช่องว่างระหว่างสิ่งนั้น เช่น

The shelf is above the table.
I hang a picture above the television.

2. Preposition of Time (คำบุพบทบ่งบอกเวลา)

Our Classroom 1

เป็นคำบุพบทที่บ่งบอกถึงการแสดงเวลา เช่น ชั่วโมง วัน สัปดาห์ เดือน ปี ฤดูกาลต่าง ๆ คำบุพบทที่พบบ่อย คือ in, on, at, during, from…to…, since, until เป็นต้น

In ใช้กับ เดือน ปี หรือฤดู ที่เป็นช่วงเวลา เช่น

I will move to London in August.

I went to Italy in 2019.

It is cold in Winter.

On ใช้กับ วัน เดือน ที่บอกวันที่ และวันสำคัญต่าง ๆเช่น

We have a meeting on Friday

I met her on June 8th.

He gives me a flower on Valentine’s Day.

At ใช้กับ ชั่วโมง เวลาตามนาฬิกาที่เฉพาะเจาะจง เช่น

She always wakes up at 7 o’clock.

We will have lunch at noon.

During (ในระหว่าง) ใช้กับ ช่วงเวลาหนึ่งเช่น

What did you do during the pandemic?

During this month, we must save our money.

From…to… (จาก…ถึง…) ใช้กับ ช่วงเวลาหนึ่งไปหาช่วงเวลาหนึ่ง เช่น

I work from 8.30am to 6.30pm.

It is not far from my house to yours.

3. Preposition of Direction (คำบุพบทบ่งบอกทิศทาง)Our Classroom 2

เป็นคำบุพบทที่บ่งบอกทิศทาง บอกการเคลื่อนไหว ว่ามาจากทางไหน หรือจะไปทางไหน คำบุพบทที่พบบ่อย คือ to, from, into, through, out of, down, up เป็นต้น

To (ถึง, ไปถึง) เช่น I walk to school.

From (จาก + จุดเริ่มต้น) เช่น My friend comes from UK.

Into (เข้าไปข้างใน) เช่น A man walked into the supermarket.

Through (ผ่าน, ทะลุ) เช่น A bird flies through the window.

Out of (ออกจาก) เช่น They got out of their car.

Down (ลง) เช่น My father lays a pen down on the floor.

Up (ขึ้น) เช่น The sun is rising up in the sky.

 

 

 ที่มา :  เว็บไซต์ของ wallstreetenglish

12 TENSE มีอะไรบ้าง และโครงสร้างประโยคเป็นอย่างไร

Tense

12 tense มีอะไรบ้าง และโครงสร้างประโยคเป็นอย่างไร

Tense หรือรูปแบบประโยคทั้งหมดในภาษาอังกฤษสามารถแบ่งง่าย ๆ ได้เป็น 3 ช่วงเวลาด้วยกัน คือ Present-ปัจจุบัน, Past-อดีต, Future อนาคต เรามาดูกันว่า 12 tenses ในภาษาอังกฤษนั้นมีอะไรบ้าง วันนี้ Twinkl (ทวิงเคิล)
ได้สรุปโครงสร้างประโยคและตัวอย่างประโยคของ
12 tenses มาให้ดูอย่างละเอียดและเข้าใจง่ายค่ะ

 

Present Tense

Present Tense คือ กลุ่มของ tense ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน “ปัจจุบัน” โดยแบ่งเป็น 4 tense ด้วยกัน

1. Present Simple Tense ใช้กับ

  • เหตุการณ์ปัจจุบัน หรือ

  • เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน ทุกเดือน หรือทุกปี 

โครงสร้างประโยค: Subject + V. 1

ตัวอย่างประโยค:

  • I (You/ We/ They) run everyday. ฉันวิ่งทุกวัน

  • He (She/ It) works everyday. เขาทำงานทุกวัน

 

2. Present Continuous Tense ใช้กับ

  • เหตุการณ์ที่ “กำลัง” เกิดขึ้นในปัจจุบันและยังเกิดขึ้นอยู่ ณ ตอนที่กำลังพูด

โครงสร้างประโยค: Subject + V. to be (is/am/are) + V.ing

ตัวอย่างประโยค:

  • I am eating right now. ฉันกำลังกินข้าว

  • You (We/ They) are eating at the restaurant now. ฉันกำลังกินข้าวอยู่ที่ร้านอาหารตอนนี้

  • He (She/ It) is walking to meet me right now. เขากำลังเดินมาหาฉันตอนนี้

3. Present Perfect Tense

ใช้กับเหตุการณ์ที่ “เกิดขึ้น” และ “เพิ่งจบลง” ณ ปัจจุบัน

โครงสร้างประโยค: Subject + V. to have (has/ have) + V.3

ตัวอย่างประโยค:

  • I (You/We/ They) have travelled to England. ฉันเพิ่งไปเที่ยวที่ประเทศอังกฤษ (สื่อว่าเพิ่งจะไปเที่ยวและเพิ่งกลับมา)

  • He (She/ It) has gone to the hospital. เขาเพิ่งจะไปโรงพยาบาลเมื่อสักครู่นี้

 

4. Present Perfect Continuous Tense

ใช้กับเหตุการณ์ที่ “เกิดขึ้น/เริ่มต้น” ในอดีต และ “กำลังดำเนินอยู่ต่อเนื่อง” ถึงปัจจุบัน 

โครงสร้างประโยค: Subject + V. to have (has/ have) + been + V.ing

ตัวอย่างประโยค

  • I (You/We/They) have been writing this report for 2 days. ฉันเริ่มเขียนรายงานนี้มา 2 วันแล้ว (หมายความว่าปัจจุบันก็ยังเขียนอยู่และยังไม่เสร็จ)

  • He (She/ It) has been living in Thailand for 10 years.  เขาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมา 2 ปีแล้ว (หมายความว่าปัจจุบันก็ยังอยู่และยังไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศไทย)

 

5 1655145371

 

Past Tense

Past tenses จะมีทั้งหมด 4 รูปแบบเช่นเดียวกัน แต่จะใช้เพื่ออธิบายเหตุการณ์ใน “อดีต”

5. Past Simple Tense

ใช้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและ “จบลงในอดีต”

โครงสร้างประโยค: Subject + V.2 

ตัวอย่างประโยค

  • I (You/ We/ They/ He/ She/ It) went to the coffee shop yesterday. ฉันไปร้านกาแฟมาเมื่อวานนี้

  • My school closed last weekend. โรงเรียนฉันปิดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

 

6. Past Continuous Tense

มักจะใช้เมื่อมี 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน โดยเหตุการณ์หนึ่งกำลังเกิดขึ้นในอดีต แต่มีอีกเหตุการณ์เข้ามาแทรกแซง

โครงสร้างประโยค: Subject + was/were + V.ing

 ตัวอย่างประโยค

  • I (He, She, It) was sleeping when you called me yesterday. ฉันกำลังนอนหลับอยู่ ตอนที่คุณโทรมาหาฉันเมื่อวาน

  • They (We, You) were walking while the car crashed. พวกเขากำลังเดินอยู่ ตอนที่รถยนต์ชน

 

7. Past Perfect Tense

ใช้กับสถานการณ์ที่มี 2 เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นคนละเวลากัน โดยเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้น เมื่อเหตุการณ์แรกจบลงแล้ว

โครงสร้างประโยค: 

  • Subject + had + V.3 

  • Subject + had + V.3 & Subject + V.1

ตัวอย่างประโยค

  • I (You/ We/ They/ He/ She/ It) had done homework when my parents arrived home yesterday. ฉันเพิ่งทำการบ้านเสร็จ ตอนที่พ่อแม่ของฉันกลับมาถึงบ้านเมื่อวานนี้

 

8. Past Perfect Continuous Tense

Tense นี้มักจะใช้กับการเขียนเป็นหลัก โดยการใช้ Past Perfect Continuous Tense จะประกอบด้วย 2 เหตุการณ์ โดยเหตุการณ์แรกเกิดก่อน และกำลังดำเนินอยู่ ในขณะที่เหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้นและจบลงตามหลัง ความแตกต่างที่สำคัญคือ Past Perfect Continuous Tense จะมีคำบ่งบอกเวลากำกับ

โครงสร้างประโยค:

  • Subject + had + been +  V.ing

  • Subject + had + been +  V.ing + (time) & Subject + V.2

ตัวอย่างประโยค

  • I (You/ We/ They/ He/ She/ It) had been travelling for one hour when the car broke down last week.  ตอนที่รถยนต์ฉันเสียเมื่อสัปดาห์ก่อน ฉันเพิ่งเริ่มเดินทางไปได้เพียงแค่ 1 ชั่วโมง

3 1655145378

 

 

Future Tense

กลุ่มของ tense ที่ใช้อธิบายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นใน “อนาคต” โดยแบ่งเป็น 4 tense ด้วยกัน

 9. Future Simple Tense

รูปแบบประโยคที่ใช้กับการวางแผนถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น พรุ่งนี้ เดือนหน้า ปีหน้า หรือแม้แต่ในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า

โครงสร้างประโยค: Subject + will + V.1

ตัวอย่างประโยค

  • I (You/ We/ They/ He/ She) will travel to Japan next month. ฉันจะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเดือนหน้า

  • My parents will buy me a bicycle on my next birthday.  พ่อแม่ของฉันจะซื้อจักรยานให้ฉันในวันเกิดฉันครั้งหน้า

 

10. Future Continuous Tense

Tense นี้จะมีโครงสร้างและวิธีการใช้เหมือนกับ Past Continuous Tense เพียงแต่เป็นรูปแบบประโยคที่พูดถึงเหตุการณ์ในอนาคต โดยจะเป็นการใช้ 2 tense ผสมกันคือ

Future Continuous Tense และ Present Simple tense โดยเหตุการณ์หนึ่งกำลังเกิดขึ้นและยังไม่สิ้นสุดในอนาคต โดยมีอีกเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 

โครงสร้างประโยค: Subject + will + be + V.ing Subject + V.1

ตัวอย่างประโยค

  • I (You/ We/ They/ He/ She/ It) will be travelling when you arrive.  ฉันน่าจะกำลังเดินทางอยู่ ตอนที่คุณมาถึง

 

11. Future Perfect Tense

เป็นรูปประโยคที่ประกอบด้วย 2 สถานการณ์ คือเหตุการณ์แรกจะสิ้นสุด ก่อนที่เหตุการณ์ที่สองจะเกิดขึ้น

โครงสร้างประโยค: Subject + will + have + V.3

โครงสร้างประโยค: Subject + will + have + V.3 & Subject + V.1

ตัวอย่างประโยค

  • The rain will have stopped by this evening. ฝนจะหยุดตกในเย็นวันนี้

  • I (You/ We/ They/ He/ She/ It) will have travelled to Japan by the time you arrive in Thailand.  ฉันคงเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเสร็จแล้ว ตอนที่คุณมาถึงประเทศไทย

 

12. Future Perfect Continuous Tense 

มักจะไม่ค่อยพบเจอทั้งในการเขียนและการพูด โดย tense นี้จะคล้ายคลึงกับ Future Continuous Tense เพียงแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันดับแรกนั้นจะเปลี่ยนเป็น will + V. to have + V. to be + V. ing เพื่อแสดงว่าเหตุการณ์นี้ยังจะดำเนินต่อไป และที่สำคัญมักจะมีคำบ่งบอกเวลาว่าเกิดขึ้นมานานเท่าไหร่แล้วกำกับไว้

โครงสร้างประโยค: Subject + will + have + been + V.ing + (time) & Subject + V.1

 ตัวอย่างประโยค

  • I (You/ We/ They/ He/ She/ It) will have been travelling for two hours when you arrive.  ฉันน่าจะกำลังเดินได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนที่คุณมาถึง

4 1655145374

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Pattida Boonwan Content Executive Thailand

เว็บไซต์นี้ เป็นเว็บไซต์หน่วยงานของรัฐในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดตั้งขึ้นเพื่อมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการ สป.อว. เพื่อเข้าสู่มาตรฐานการบริหารจัดการภาครัฐ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของสำนักงานปลัดกระทรวง โปรดแจ้งให้ทราบเพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป

ISO 27001 Audit Certification  ISO 27001:2013 Bureau Veritas Certification UK Limited  AlphaSSL CA - SHA256 - G4   WCAG 2.0 (Level AAA)